องค์การบริหารส่วนตำบลบางตาเถร อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี :www.bangtathen.go.th

 
 
05 ข่าวประชาสัมพันธ์


โรคไข้เลือดออก

    รายละเอียดข่าว

 

โรคไข้เลือดออก เป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว แต่ก็ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจำนวนมาก และถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม ก็เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสชนิดนี้ และวัคซีนเองก็ยังไม่สามารถฉีดได้กับทุกคน โรคนี้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้นอย่างประเทศไทยซึ่งมีการระบาดทุกปีในช่วงฤดูฝน โดยโรคมีความรุนแรงที่แตกต่าง ๆ กันในผู้ป่วยแต่ละราย ในกรณีที่มีความรุนแรงมากอาจถึงแก่ชีวิตได้

 

โรคไข้เลือดออกเกิดจากอะไร ?

โรคเลือดเลือดออกเป็นโรคระบาดชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) โดยมีพาหะเป็นยุงลาย(Aedes aegypti) โดยเฉพาะยุงลายตัวเมียที่ชอบหากินในเวลากลางวัน ผู้ที่ถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่กัดอาจเกิดการติดเชื้อและมีอาการได้ ไวรัสเดงกี่มี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ 1, 2, 3 และ 4 โดยทุกสายพันธุ์สามารถทำให้เกิดไข้เลือดออกได้ มนุษย์จึงสามารถติดเชื้อไวรัสเดงกี่ซ้ำได้หลายครั้ง เมื่อติดเชื้อสายพันธุ์ใดแล้วร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอด แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียงชั่วคราว
 

อาการของโรคไข้เลือดออกเป็นอย่างไร ?

อาการมีความรุนแรงแตกต่างกันไป ผู้ป่วยส่วนมากจะไม่มีอาการ สำหรับผู้ที่มีอาการ จะมีอาการที่เด่นชัดคือ ไข้สูง (39-40 องศาเซลเซียส) อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว ปวดท้อง (โดยเฉพาะด้านขวาบน) คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจมีเลือดออกที่ตำแหน่งต่าง ๆ โดยที่พบบ่อยที่สุดคือบริเวณผิวหนัง ลักษณะเป็นจุดเลือดออกเล็ก ๆ กระจายตามแขนขาลำตัว ที่พบบ่อยถัดมาคือเลือดกำเดาไหล กรณีมีเลือดออกที่อวัยวะภายใน เช่นทางเดินอาหารจะมีอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำและซีดอย่างรวดเร็ว ถ้ายิ่งมีเกล็ดเลือดต่ำร่วมด้วยอาการเลือดออกก็จะรุนแรงมากบางรายที่เมื่อไข้ลงแล้วจะมีภาวะช็อคตามมา ภาวะช็อกจากไข้เลือดออกเกิดจากการที่สารน้ำในหลอดเลือดรั่วออกไปนอกหลอดเลือด สามารถทำให้มีความดันโลหิตต่ำ มือเท้าเย็นกระสับกระส่าย ปัสสาวะออกน้อย ซึม ชัก หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้นได้


ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคไข้เลือดออกที่รุนแรง ?

ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่เกิดโรคไข้เลือดออกรุนแรงได้แก่ น้ำหนักตัวมาก หญิงตั้งครรภ์ เด็กทารก มีโรคประจำตัว เช่น ธาลัสซีเมีย โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีหัวใจวาย ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับ ผู้ป่วยไตวาย ผู้ที่ได้รับยาที่ระคายเคืองกระเพาะอาหารหรือยาที่มีผลต่อเกล็ดเลือด
 

โรคไข้เลือดออกวินิจฉัยอย่างไร ?

การวินิจฉัยอาศัยประวัติ การตรวจร่างกาย อาการทางคลินิก และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกัน โดยพบเม็ดเลือดแดงเข้มข้นขึ้น จำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำได้บ่อย นอกจากนี้ยังมีวิธีการตรวจหาเชื้อไข้เลือดโดยตรง (NS-1 antigen) โดยน่าเชื่อถือในช่วง 1-3 วันแรกของไข้ หรือตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อไข้เลือดออก (Dengue IgM) แต่ยังไม่มีวิธีไหนทำนายความรุนแรงของโรคได้ในปัจจุบัน


โรคไข้เลือดออกดูแลรักษาอย่างไร ?

ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออกโดยเฉพาะ ดังนั้นการรักษาหลักจึงเป็นการรักษาตามอาการเพื่อประคับประคองให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เช่น ให้ยาลดไข้แก้ปวด เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อยๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานยาลดไข้ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารเนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ในรายที่อาการไม่รุนแรงอาจหายได้เองภายใน 2-7 วัน แต่หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่ายอาเจียนมาก ปวดท้องมาก ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ตัวเย็นผิดปกติ ไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด


ป้องกันไข้เลือดออกได้อย่างไร ?

  • ป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด โดยสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด ใช้สารไล่ยุงชนิดต่างๆ เช่น DEET ติดมุ้งลวดที่หน้าต่าง นอนในมุ้ง รวมถึงป้องกันไม่ให้ยุงลายเข้ามาหลบซ่อนในบ้าน
  • ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณบ้านและบริเวณใกล้เคียง ด้วยการปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขังไม่ให้ยุงเข้าไปวางไข่ได้ เปลี่ยนน้ำในภาชนะที่ปิดไม่ได้ทุกสัปดาห์ ปล่อยปลากินลูกน้ำในอ่างบัว รวมทั้งหากพบการระบาดในชุมชนก็ควรแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อฉีดยากันยุงและใส่ทรายอะเบทในแหล่งน้ำขัง

 



    เอกสารประกอบ

โรคไข้เลือดออก
 
    วันที่ลงข่าว
: 2 พ.ค. 2566
    ผู้ลงข่าว : ผู้ดูแลระบบ